อำเภอทุ่งหว้า



วัติ

ทุ่งหว้าเดิมเรียกว่า "สุไหงอุเป" (Su-ngai Upe) หมายถึง คลองกาบหมาก ขณะนั้น (ปี พ.ศ. 2440) ทำการค้ากับขาวต่างประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองมาก สินค้าที่มีชื่อเสียงคือ พริกไทย ในภูมิภาคแถบนี้ขนานนามว่า "ปีนังน้อย" ส่วนคำว่า "ทุ่งหว้า" มีที่มาจากที่ตั้งของตลาด ร้านค้า และสถานที่ราษฎร ตั้งอยู่กลางทุ่ง มีต้นไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า "ต้นหว้า" จึงขนามตามลักษณะที่ตั้งว่า "ทุ่งหว้า"
1.ชายฝั่งทะเลโบราณเขาทะนาน

แหล่งท่องเที่ยว
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : บ้านทุ่งทะนาน ตำบลทุ่งบุหลัง อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล


เป็นภูเขาหินปูนลูกโดดๆสูงเป็นหอคอยอยู่ในพื้นที่สาธารณประโยชน์ มีหนองน้ำอยู่ทางด้านเหนือและด้านตะวันตก ด้านใต้เป็นสวนสาธารณะ มีถนนคอนกรีตเสริมเหล็กกว้าง 4 เมตรล้อมรอบ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ อยู่ห่างจากอำเภอทุ่งหว้า เป็นระยะทางประมาณ 14 กม.
เป็นเขาหินปูนลูกโดดๆขนาดเล็กเป็นหน้าผาชัน เป็นลักษณะของภูมิประเทศแบบคาสต์ พบถ้ำทะเล และร่องบากลักษณะเว้าทะเลที่อาจแสดงว่าระดับทะเลเคยท่วมถึง มีลักษณะเป็นหินปูนชั้นหนามาก สีเทาจาง มีซากดึกดำบรรพ์หอยสองฝา แบรคิโอพอด ไบรโอซัว ปะการัง ฟองน้ำ หอยกาบเดี่ยว แกนของไบรโอซัว พลับพลึงทะเล และสโตรมาโตโฟรอยด์ พบเศษตะกอนเป็นผลึกตกเข้าไปในช่องว่าง เนื้อใสขาวเชื่อมตะกอนและเศษตะกอนแตกหัก เกิดสะสมตัวในทะเลตื้น อาจเป็นลักษณะของพืดปะการัง (coral reef) นอกจากนี้ยังพบว่าชั้นหินมีการโค้งงออย่างน้อยสองทิศทาง


2.ซากดึกดำบรรพ์โต๊ะสามยอด
ประเภทแหล่ง : ซากดึกดำบรรพ์
ที่อยู่ : ศาลทวดโต๊ะสามยอด ตำบลป่าแก่บ่อหิน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นภูเขาหินปูนลูกโดดๆขนาดเล็ก ติดถนนสายบ้านสะพานวา-บ้านป่าแก่ อยู่ห่างจากสามแยกบ้านสะพานวาไปทางบ้านป่าแก่ประมาณ 3 กิโลเมตร มีศาลทวดโต๊ะสามยอดตั้งอยู่เชิงเขา ขนาดพื้นที่แหล่งประมาณ 30 x 40 ตารางเมตร ห่างจากอำเภอทุ่งหว้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร

หินปูนในแหล่งมีลักษณะมีการสลับชั้นระหว่างชั้นที่เป็นหินปูนกับชั้นที่เป็นหินปูนเนื้อโคลน (argillaceous limestone) และมีลักษณะที่แสดงว่าถูกบีบอัดจนชั้นหินปูนขาดออกจากกันเป็นก้อนทรงมน (nodular limestone) ด้านตัดขวางกับชั้นหินสังเกตเห็นซากเปลือกหอยกาบคู่ (bivalve) ที่ฝาหอยทั้งหมดคว่ำลง และพบนอติลอยด์ตัวใหญ่ในชั้นหินด้วย การคว่ำลงของเปลือกหอยกาบคู่ทำให้เข้าใจได้ว่าหินปูนนี้เกิดการสะสมตัวบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีอิทธิพลของคลื่นซัดเข้าหาฝั่งทำให้เปลือกหอยส่วนใหญ่พลิกคว่ำลงบนพื้น ลักษณะหินปูนดังกล่าว เป็นลักษณะของหินปูนในหมวดหินตะโล๊ะดังหรือหมวดหินแลตอง
3.ถ้ำพุทธคีรี
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : บ้านธารปลิว ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นถ้ำหินปูนอยู่ในบริเวณสำนักปฏิบัติธรรมน้ำพุทธคีรี อยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ป่าเขาบรรทัด ทางด้านตะวันตกของบ้านธารปลิว อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางเหนือเป็นระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร
เป็นพื้นที่เทือกเขาหินปูน มีลักษณะภูมิประเทศแบบคาสต์ โพรงถ้ำถูกพัฒนาเป็นสำนักปฏิบัติธรรม จึงเป็นสถานที่ที่มีพุทธศาสนิกชนมาบำเพ็ญศีลเนืองๆและมีเส้นทางเข้าถึงสะดวกอยู่ห่างจากอำเภอทุ่งหว้าเพียง 10 กิโลเมตร ภายในถ้ำและโดยรอบพื้นที่มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่โดดเด่นน่าสนใจ เช่น ถ้ำ หินงอก หินย้อย โพรงอากาศ ทางน้ำลอดที่ไหลออกไปเป็นลำธาร และซากดึกดำบรรพ์ในเนื้อหินปูน
กรมทรัพยากรธรณี (www.dmr.go.th) ได้รายงานว่าถ้ำพุทธคีรีเป็นโพรงถ้ำหินปูนมี 2 ชั้น โพรงถ้ำชั้นบนมีขนาดสูงประมาณ 40 เมตร กว้างประมาณ 30 เมตร ลึกประมาณ 30 เมตร พบลักษณะหินงอกหินย้อย และหินปูนฉาบ (flow stone) ซึ่งเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนจากน้ำที่มีสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนต ไหลเป็นแผ่นเคลือบอยู่บนพื้นผิวของถ้ำ นอกจากนี้บริเวณโพรงถ้ำชั้นล่างมีความสูงประมาณ 10 เมตร มีลำธารที่สามารถไหลทะลุออกไปนอกถ้ำได้ ทางน้ำไหลไปทิศ 240 องศา(ตะวันตกเฉียงใต้) จึงอาจกล่าวได้ว่าถ้ำพุทธคีรีเป็นถ้ำที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างโพรงถ้ำและถ้ำธารลอด
เป็นถ้ำหินปูนสีเทาถึงเทาเข้มมีลักษณะเป็นชั้นอย่างชัดเจน ระนาบชั้นหินวางตัวเอียงเทไปทางทิศตะวันออกด้วยมุมเอียงเทประมาณ 37 องศา (102/37) มีลักษณะเป็นถ้ำน้ำลอดเป็นต้นน้ำของลำธารเล็กๆด้านนอกถ้ำ ในลำธารพบหินปูนเป็นชั้นอย่างชัดเจน พบรูชอนไชทั่วไปในเนื้อหินปูนและพบซากหอยกาบเดี่ยวด้วย อย่างไรก็ตามยังไม่พบซากดึกดำบรรพ์ดัชนี แต่จากลักษณะหินมีลักษณะคล้ายหมวดหินมะละกา ซึ่งจำเป็นต้องมีการสำรวจวิจัยในรายละเอียดและในวงพื้นที่กว้างเพิ่มเติมต่อไป

4.ถ้ำวังกลาง
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : บ้านเขาแดง ตำบลป่าแก่บ่อหิน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งเป็นถ้ำธารลอดมีความยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร มีน้ำไหลออกมาเป็นลำธารเรียกว่าลำแยะแนะ ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลป่าแก่บ่อหินได้สร้างฝายกักเก็บน้ำเกิดเป็นอ่างเก็บน้ำขนาด 7,200 ตารางเมตร น้ำลึกประมาณ 1.9 เมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร

พื้นที่บริเวณปากถ้ำมีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายหลุมยุบ มีเทือกเขาหินปูนเห็นเป็นผาสูงชันทางด้านตะวันตก เหนือ และตะวันออก ปากถ้ำอยู่บริเวณด้านตะวันตก ภายในถ้ำมีลักษณะเป็นอุโมงค์ยาวมีธารน้ำไหลออกบริเวณด้านใต้ของปากถ้ำสู่อ่าวเก็บน้ำลำแยะแนะ ปากถ้ำอีกด้านอยู่อีกด้านของเทือกเขา นับเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางธรณีวิทยา

บริเวณปากถ้ำเห็นเป็นหินปูนสีเทา ขณะที่บนยอดเขาเห็นเป็นหินโคลนสีม่วงมีเม็ดกลมเนื้อปูนสีขาว (nodular limestone) หินของสองบริเวณดังกล่าวมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยหินปูนบริเวณยอดเขามีลักษณะต่อเนื่องจากจากหินโผล่ที่บ้านควนตำเสาและที่เขาแดงทุ่งหว้า ขณะที่หินปูนบริเวณปากถ้ำมีลักษณะคล้ายหินปูนที่หินผานาทอน อย่างไรก็ตามยังไม่มีการสำรวจหาความสัมพันธ์ระหว่างหินสองบริเวณดังกล่าว

ลักษณะภูมิประเทศของแหล่งคล้ายหลุมยุบ (sinkhole) ที่มีลักษณะเป็นหลุมลึกลงไปและมีผาชันหินปูนล้อมรอบสามด้าน องค์การบริหารส่วนตำบลป่าแก่บ่อหินได้สร้างทางขึ้นยอดเขา เพื่อเดินต่อไปที่ปากถ้ำอีกด้านหนึ่ง

5.ถ้ำเลสเตโกดอน
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : บ้านคีรีวง หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
ถ้ำเลสเตโกดอน เป็นถ้ำอยู่ในเทือกเขาหินปูนที่ทอดยาวในแนวเหนือ-ใต้ มีปากทางเข้า-ออกสามทาง อยู่ทางด้านตะวันออกสองทาง และอยู่ทางด้านตะวันตกหนึ่งทาง มีลักษณะคล้ายอุโมงค์จากปากถ้ำทั้งสามไปบรรจบกันใต้ภูเขา อุโมงค์ถ้ำมีลักษณะคดเคี้ยวไปมาขนาดความกว้างประมาณ 10 เมตร และมีเพดานถ้ำสูงประมาณ 10-20 เมตร ทั้งนี้วัดระยะทางระหว่างปากถ้ำได้ยาก แต่ประมาณได้ว่าระยะทางระหว่างถ้ำไม่น้อยกว่า 4 กิโลเมตร และจากปากถ้ำด้านตะวันตกซึ่งติดป่าชายเลนต้องล่องเรือไปขึ้นบกที่ท่าเรือท่าอ้อยด้วยระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ปากถ้ำด้านตะวันออกอยู่ห่างจากอำเภอทุ่งหว้าเป็นระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร

ถ้ำเลสเตโกดอน เดิมมีชื่อว่า ถ้ำวังกล้วย เป็นถ้ำที่มีปากถ้ำเข้า-ออกสามทางทะลุหากันเป็นลักษณะคล้ายอุโมงค์ทอดยาวในแนวระดับไปบรรจบกันอยู่ใต้ภูเขา เป็นลักษณะของถ้ำเล กล่าวคือมีน้ำทะเลเข้าไปได้ ทั้งนี้ปากถ้ำด้านตะวันออกทั้งสองช่องมีลำธารไหลเข้าไปในถ้ำและไหลออกทะเลทางปากถ้ำด้านตะวันตก โดยน้ำในถ้ำจะได้รับอิทธิพลของน้ำทะเลจากการขึ้นลงเป็นประจำทุกวัน กิจกรรมพายเรือลอดถ้ำจึงต้องพิจารณาระดับน้ำในถ้ำด้วย จึงถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นลักษณะหนึ่งของถ้ำแห่งนี้ นอกจากนี้ ยังมีการพบซากดึกดำบรรพ์ของช้างและแรดสมัยไพลสโตซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช้างสเตโกดอน ซึ่งเป็นที่มาของการเรียกชื่อถ้ำแห่งนี้ว่า “ถ้ำเลสเตโกดอน”

เดิมทีเรียกถ้ำแห่งนี้ว่า “ถ้ำวังกล้วย” โดยในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 นายยุทธนันท์ แก้วพิทักษ์ ชาวบ้านหมู่ที่ 6 ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง กับเพื่อนอีก 3 คน พวกเขาเดินทางเข้าไปในถ้ำวังกล้วย เพื่อจับกุ้งก้ามกราม ขณะดำน้ำจับกุ้งอยู่นั้น ได้พบซากดึกดำบรรพ์ลักษณะเป็นหินสีน้ำตาลไหม้ น้ำหนักประมาณ 5.3 กิโลกรัมยาวประมาณ 44 เซนติเมตร สูงประมาณ 16 เซนติเมตร ห่างจากปากทางเข้าถ้ำด้านหมู่บ้านคีรีวงประมาณ 1.6 กิโลเมตรจึงเก็บซากนั้นไว้

ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม 2551 นายยุทธนันท์ แก้วพิทักษ์ ได้มอบซากดึกดำบรรพ์ที่พบให้อำเภอทุ่งหว้า โดยมีพิธีส่งมอบอย่างเป็นทางการ ซึ่งครั้งนั้นมีนายประเสริฐ สองเมือง ปลัดอำเภอประจำตำบลทุ่งหว้า พ.ต.อ.ถวัลย์ นคราวงศ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทุ่งหว้า นายจารึก วิไลรัตน์ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอทุ่งหว้า นางสาวรุ่งทิพย์ ฟองโห้ย นักพัฒนาชุมชนนายพิศาล แซ่เอี้ยว ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า นายอรรถพล จุลฉีด ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งหว้าร่วมเป็นตัวแทนในการรับมอบ โดยนำไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจภูรทุ่งหว้า

ขณะเดียวกันมีนักธรณีวิทยา จากกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่กำลังสำรวจผลกระทบทางธรณีวิทยาจากภัยพิบัติที่อำเภอทุ่งหว้าได้เข้ามา ตรวจสอบฟอสซิลดังกล่าวเบื้องต้นด้วย โดยสันนิษฐานว่าอาจเป็นซากของจระเข้ ในขณะนั้นมีการนำเสนอข่าวทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับ

ต่อมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งเป็นชาวอำเภอทุ่งหว้า ได้ทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์จึงติดต่อกับนายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้าเพื่อขอเข้าศึกษารายละเอียด โดยได้มอบหมายให้อาจารย์จรูญ ด้วงกระยอม และคณะ เดินทางไปศึกษาชิ้นตัวอย่าง พบว่า ซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวเป็นซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกราม ซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างดึกดำบรรพ์สกุลสเตโกดอนอยู่ในสมัยไพลสโตซีน

กรมทรัพยากรธรณี (2556) ได้รายงานว่ามีการพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ตามท้องน้ำบางจุดในถ้ำ จากการสำรวจในระยะทางราว 2 กิโลเมตร พบชิ้นส่วนซากดึกดำบรรพ์ในช่วง 3 ปี ( พ.ศ. 2551 – 2553) จำนวน 199 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นซากแรดโบราณ 2 สกุล คือ แรดเกนดาธิเลียม และแรดคิโลธิเลียม ช้างดึกดำบรรพ์ 2 สกุล คือ ช้างสเตโกดอน และช้างเอลิฟาส ซึ่งถือว่าเป็นการพบซากดึกดำบรรพ์ช้างเป็นแห่งแรกของภาคใต้ นอกจากนี้ยังพบซากสัตว์วงศ์กวาง วัว ควาย และเต่า คาดว่าซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้มีอายุอยู่ในช่วงสมัยไพลสโตซีน 

เป็นถ้ำที่อยู่ในเทือกเขาหินปูนที่ทอดตัวยาวในแนวประมาณเหนือ-ใต้ ประกอบด้วยเขาหญ้าระทางด้านเหนือมียอดเขาสูงสุด 307 เมตร และเขาวังกล้วยทางด้านใต้มียอดเขาสูงสุด 299 เมตร ภูเขาทั้งสองทอดยาวต่อเนื่องกันยาวประมาณ 5.5 กิโลเมตร และมีความกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ด้านตะวันออกของแนวเทือกเขาเป็นหุบเขาที่มีถนนหลวงสาย 416 ทอดผ่านขนานไปกับแนวเทือกเขา ส่วนด้านตะวันตกติดพื้นที่ป่าชายเลนที่มีคลองน้ำไหลออกไปสู่ทะเล



ถ้ำมีช่องทางเข้า-ออก 3 ทาง อยู่ทางด้านตะวันออกของแนวเทือกเขา 2 ช่องทาง และอีกหนึ่งช่องทางอยู่ทางด้านตะวันตก มีลักษณะคล้ายอุโมงค์ทอดยาวในแนวระดับจากปากถ้ำทั้งสามทอดยาวไปบรรจบกันอยู่กลางภูเขา โดยอุโมงค์ถ้ำมีขนาดความกว้างประมาณ 10 เมตร และสูงประมาณ 10-20 เมตร เป็นธารน้ำไหลจากปากถ้ำทั้งสองทางด้านตะวันออกไหลไปบรรจบกันกลางภูเขาแล้วไหลต่อเนื่องออกปากถ้ำด้านติดกับป่าชายเลนและไหลลงทะเลในที่สุด

ระดับน้ำในถ้ำจึงแปรผันตามฤดูกาลและแปรผันตามการขึ้นลงของระดับน้ำทะเลในแต่ละวัน โดยในช่วงเวลาที่เหมาะสมสามารถพายเรือลอดถ้ำจากปากถ้ำด้านตะวันออกไปออกปากถ้ำด้านตะวันตกตกแล้วล่องเรือไปตามลำคลองไปขึ้นฝั่งที่ท่าอ้อยในเขตเทศบาลทุ่งหว้าในที่สุด การพายเรือลอดถ้ำถือเป็นการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และได้เรียนรู้ธรณีวิทยาของถ้ำ อันมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางธรณีวิทยา การกร่อน และการพอกพูนของสารแคลเซียมคาร์บอเนตเกิดเป็นหินงอกและหินย้อย โดยยังเป็นสถานที่ที่มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรามช้างสเตโกดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเลสเตโกดอน” นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้เรียนรู้นิเวศวิทยาของป่าชายเลนบริเวณนอกถ้ำด้วย

เทือกเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำเลสเตโกดอนเป็นหินปูนเป็นชั้นดียุคออร์โดวิเชียน ชั้นหินมีความหนาประมาณ 10-15 เซนติเมตร มีการวางตัวเอียงเทไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยมุมเอียงเทประมาณ 75 องศา (70/75) หินปูนมีโครงสร้างรอยแตกพบเห็นได้โดยทั่วไป โดยแนวแกนของถ้ำมักอยู่ในแนวเดียวกับแนวรอยแตก ตามแนวรอยแตกมักพบหินย้อยทอดยาวเป็นแนวไปตามแนวรอยแตก อย่างไรก็ตามแนวถ้ำมีทิศทางหักเลี้ยวไปมาซับซ้อนทำให้ไม่ทราบทิศทางการวางตัวของถ้ำที่แน่นอน

6.น้ำตกธารปลิว
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : บ้านธารปลิว หมู่ 7 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นพื้นที่หุบเขามีธารน้ำไหลผ่าน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 200x400 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ราบเชิงเขา ภูเขาด้านเหนือเป็นผาหินปูนสูง ด้านล่างของผาหินเป็นต้นน้ำไหลลงเป็นน้ำตก สายน้ำแตกออกเป็นหลายสายย่อยคลุมพื้นที่ประมาณ 100x300 ตารางเมตร มีถนนลาดยางเข้าถึงพื้นที่ อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าเป็นระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร

เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีความร่มรื่นของต้นไม้ น้ำตกมีลักษณะเป็นสายน้ำพวยพุ่งออกมาจากภูเขาซึ่งเป็นต้นน้ำ ไหลลงไปบนแอ่งชั้นบนจากนั้นจะตกลงสู่แอ่งน้ำชั้นล่างแล้วจึงไหลมาบรรจบกันเป็นสายน้ำอีกครั้ง เป็นพื้นที่เทือกเขาหินปูนยุคออร์โดวิเชียน

กรมทรัพยากรธรณี (www.dmr.go.th) รายงานว่าน้ำตกธารปลิวเป็นน้ำตกที่พบในพื้นที่หินปูนยุคออร์โดวิเชียน เนื้อหินมีสีเทาดำ น้ำตกธารปลิวเป็นหน้าผาหินปูนมีขนาดสูง 5 เมตร ยาว 50 เมตร และมีน้ำตกเล็กๆสูง 1-2 เมตร กระจายอยู่ทั่วไปเกิดจากการพอกตัวของคราบหินปูนและตะกอนแขวนลอยที่มากับน้ำ ทำให้เกิดลักษณะเป็นแอ่งน้ำคล้ายทำนบลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม มีการแสดงลักษณะการกัดเซาะของน้ำ ตรงหน้าผาน้ำตกแสดงลักษณะหินย้อยสวยงาม

น้ำตกธารปลิว เป็นน้ำตกสูงประมาณ 5 เมตร มีน้ำไหลออกมาจากช่องโพรงหินปูนบริเวณตีนเขาหินปูนที่อยู่เหนือขึ้นไปจากบริเวณน้ำตกประมาณ 50 เมตร แหล่งต้นน้ำนี้เป็นโพรงถ้ำในเทือกเขาหินปูนที่ทอดยาวและสูงเป็นหน้าผาสูงชัน น้ำที่ไหลออกมาจากถ้ำในภูเขาไหลลาดไปตามพื้นหินลาดเอียงเป็นระยะทางประมาณ 50 เมตร แล้วจึงไหลตกลงเป็นน้ำตกสูงประมาณ 5 เมตร พื้นหินที่น้ำไหลผ่านมีการพอกพูนของสารแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นปูนน้ำจืดเคลือบพื้นผิวโขดหินโค้งมนสามารถเดินผ่านไปโดยไม่ลื่นไถล น้ำที่ตกลงสู่พื้นด้านล่างแตกแขนงออกเป็นหลายสาขาแล้วไหลไปรวมกันเกิดเป็นลำธารไหลไปรวมกับสายน้ำหลักในที่สุด

เทือกเขาหินปูนที่เป็นแหล่งต้นน้ำ สังเกตลักษณะหินได้ไม่ชัดเจนนัก แต่พบรอยเลื่อยบริเวณใกล้บริเวณช่องน้ำลอด มีระนาบรอยเลื่อนเอียงเทไปทางตะวันออกด้วยมุมก้มประมาณ 80 องศา ส่วนหินปูนด้านล่างของน้ำตกมีลักษณะเป็นชั้นอย่างชัดเจน

7.ผาโต๊ะนางดำ
ประเภทแหล่ง : ซากดึกดำบรรพ์
ที่อยู่ : บ้านทุ่งใหญ่ หมู่ 8 ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งเป็นที่ราบเชิงเขาทางด้านใต้ของหน้าผาสูงชันในลักษณะของภูมิประเทศแบบคาสต์ทางด้านตะวันออกของถนนสาย 416 บริเวณกิโลเมตรที่ 12.8 บริเวณตีนเขามีลักษณะเป็นกองเนินตะกอนเชิงเขา พื้นที่ด้านใต้ของเนินตะกอนเป็นที่ราบที่ได้รับการพัฒนาเป็นสวนสาธารณะเขานางดำ บ้านทุ่งใหญ่ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลนาทอน ภายใต้โครงการพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100x40 ตารางเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าเป็นระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร

พื้นที่แหล่งเป็นภูเขาหินปูนมีลักษณะภูมิประเทศแบบคาสต์ มียอดเขาสู่ๆต่ำ ยอดเขาสูงสุดสูงระหว่าง 184 – 190 เมตร มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันทั้งด้านทิศตะวันตกและด้านทิศใต้ ด้านใต้ของหน้าผาสูงเป็นที่ราบที่ได้รับการพัฒนาเป็นสวนสาธารณะสำหรับชุมชนและด้านใต้ลงไปอีกยังเป็นสนามกีฬาระดับอำเภอของอำเภอทุ่งหว้าอีกด้วย นอกจากนี้ พื้นที่แหล่งยังเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นภูเขาหินปูน โบราณวัตถุที่พบ เป็นประเภทหิน และประเภทดินเผา 

พื้นที่แหล่งมีลักษณะผสมผสานระหว่างลักษณะทางธรณีวิทยาและโบราณคดี พื้นที่มีลักษณะบ่งชี้ถึงโครงสร้างรอยเลื่อนสองแนวตัดกัน รอยเลื่อนหลักอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ที่พาดตัวจากทางด้านตะวันออกของอำเภอทุ่งหว้าต่อเนื่องลงมาทางใต้ผ่านบริเวณบ้านวังตงผ่านต่อเนื่องลงไปทางตอนใต้ รอยเลื่อนแนวลองลงมาอยู่ในแนวประมาณตะวันตกเฉียงใต้-ตะวันออกเฉียงเหนือ ตัดกับรอยเลื่อนหลักที่บ้านวังตง ก่อให้เกิดหน้าผาหินปูนสูงชันหันไปทางทิศใต้มีลักษณะเป็นระนาบหน้าผาสูงเอียงล้ำลงใต้ในลักษณะของผาหินพักพิง (rock shelter) ทั้งนี้บางบริเวณพบว่าหินปูนแสดงลักษณะโครงสร้างหนังช้าง (elephant skin structure) ซึ่งเป็นลักษณะที่บ่งชี้ว่าหินปูนบางส่วนกำลังมีการกลายสภาพเป็นหินโดโลไมต์ (dolomitization) ที่ฐานของหน้าผาจุดหนึ่งมีกองเนินสูงกว่า 4 เมตรครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20x30 ตารางเมตร กองเนินนี้ประกอบไปด้วยหินปูนน้ำจืดปนเนื้อดินและมีซากเปลือกหอยทะเลอยู่อย่างหนาแน่น ประกอบไปด้วย หอยแครง (Anadara granosa) หอยจุ๊บแจง (Cerithidea obtusa) หอยกัน (Polymesoda proxima) หอยน้ำพริก (Nerita spp.) หอยมวนพลู (Territella terebra) และหอยนางรม (oyster) อย่างไรก็ตาม พบร่องรอยที่บ่งชี้ว่ามีผู้มาขุดตักกองเนินนี้ออกไปลึกประมาณ 1.8 เมตร

8.พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า
ประเภทแหล่ง : พิพิธภัณฑ์
ที่อยู่ : องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า ตั้งอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า เป็นอาคารชั้นเดียว มีขนาดพื้นที่จัดแสดง 144 (12 x 12) ตารางเมตร อยู่ติดกับที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า.

พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก กำเนิดขึ้นมาจากนายยุทธนันท์ แก้วพิทักษ์ ชาวบ้านหมู่ที่ 6 ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง กับเพื่อนอีก 3 คน พบซากดึกดำบรรพ์ช้างสเตโกดอน ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 จากการเดินทางเข้าไปในถ้ำวังกล้วยเพื่อจับกุ้งก้ามกราม ขณะดำน้ำจับกุ้งอยู่นั้น ได้พบซากดึกดำบรรพ์ลักษณะเป็นหินสีน้ำตาลไหม้ น้ำหนักประมาณ 5.3 กิโลกรัมยาวประมาณ 44 เซนติเมตร สูงประมาณ 16 เซนติเมตร ห่างจากปากทางเข้าถ้ำด้านหมู่บ้านคีรีวงประมาณ 1.6 กิโลเมตรจึงเก็บซากนั้นไว้ ต่อมา ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2551 นายยุทธนันท์ แก้วพิทักษ์ ได้มอบซากดึกดำบรรพ์ที่พบให้อำเภอทุ่งหว้า โดยนำไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจภูธรทุ่งหว้า และมีข่าวออกหน้าหนังสือพิมพ์

ช้างสเตโกดอน (Stegodon) เป็นช้างโบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยไมโอซีนตอนปลายถึงสมัยไพลสโตซีนตอนต้น เป็นช้างที่ถูกจัดอยู่ในวงศ์สเตโกดอนติดี (Stegodontidae) วงศ์ย่อยสเตโกดอนตินี (Stegodontinae)

ต่อมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งเป็นชาวอำเภอทุ่งหว้า ได้ทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์จึงติดต่อกับนายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้าเพื่อขอเข้าศึกษารายละเอียด โดยได้มอบหมายให้อาจารย์จรูญ ด้วงกระยอม และคณะ เดินทางไปศึกษาชิ้นตัวอย่าง พบว่า ซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวเป็นซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกราม ซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างดึกดำบรรพ์สกุลสเตโกดอนอยู่ในสมัยไพลสโตซีน และเป็นที่มาของการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า

ช้างสเตโกดอน เป็นช้างที่มีวิวัฒนาการต่อมาจากช้างสเตโกโลโฟดอน และมีลักษณะร่วมกันระหว่างช้างมาสโตดอนกับช้างเอลลิฟาสที่เป็นสกุลช้างปัจจุบัน กะโหลกมีขนาดใหญ่ ขากรรไกรสั้น ไม่มีงาล่าง งาช้างสเตโกดอนบางชนิด เช่น Stegodon magnidens ในประเทศอินเดีย ยาวถึง 3.3 เมตร ฟันกรามประกอบด้วย สันฟันแนวขวาง 6 – 13 สัน ซากดึกดำบรรพ์สเตโกดอนในประเทศไทยหลายซากมีขนาดใหญ่ เช่น สเตโกดอน อินสิกนิส (Stegodon insignis) ในชั้นตะกอนลึก 25 เมตร ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในพื้นที่ตำบลท่าช้าง สเตโกดอน (Stegodon sp.) บางตัวสูงได้ถึงประมาณ 4 เมตร

ซากดึกดำบรรพ์ช้างสเตโกดอน พบทั้งในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา แต่ที่มีอายุเก่าแก่ พบเฉพาะในแถบเอเชียตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าภูมิภาคนี้ อาจจะเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของช้างแท้ๆในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์เริ่มก่อสร้างในปี 2553 และแล้วเสร็จในปี 2554 จากนั้นได้จัดทำนิทรรศการในปี 2555 และเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปในวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 จนถึงปัจจุบัน เปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ในเวลาราชการ เว้นวันหยุดราชการ โดยไม่เก็บค่าเข้าชม มีสถิติผู้เข้าเยี่ยมชมประมาณ 100,000 คนต่อปี โดยภายในห้องนิทรรศการประกอบด้วยการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับช้างไทย ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในจังหวัดสตูล และซากดึกดำบรรพ์ช้างที่พบในถ้ำเลสเตโกดอนและซากดึกดำบรรพ์อื่นๆ 

9.ลานหินธารปลิว
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านธารปลิว ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นพื้นที่เชิงเขาติดถนนสายบ้านคีรีวง-บ้านราวปลา มีขนาดพื้นที่ประมาณ 200x400 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ว่างเปล่า มีก้อนหินขนาดเขื่อง เรียงรายกระจายไปทั่วพื้นที่ อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร

พื้นที่แหล่งเป็นพื้นที่ราษฎรที่มีหินโผล่เป็นหย่อมเล็กๆกระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่ด้านตะวันออกของถนน ด้านหลังพื้นที่มองจากถนนเป็นเทือกเขาสูง ก้อนหินที่กองเรียงรายมีลักษณะหินที่โดดเด่น และเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ง่ายเนื่องจากติดเส้นทางรถยนต์

พื้นที่แหล่ง มีก้อนหินก้อนขนาดความสูงประมาณ 1 เมตร เป็นหินปูนที่มีโครงสร้างของแผ่นสาหร่าย (algal mat) มองเห็นเป็นลายเส้นสาหร่าย (algal lamellae) มีลักษณะคล้ายแหล่งธรณีวิทยา สต.36 แหล่งควนนมสาวซึ่งอาจเป็นของหมวดหินเดียวกัน

10.หาดราไว
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : บ้านราไว ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล มีการตกสะสมตัวของตะกอนทรายจากตอนเหนือบริเวณปากคลองวังวนที่บ้านราไวเหนือ และยาวต่อเนื่องลงมาตอนใต้จนถึงปากคลองยานซื่อด้านตรงข้ามกับบ้านหยงละไน้ รวมเป็นหาดทรายที่มีความยาวประมาณ 3.5 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 26 กิโลเมตร

หาดราไว อยู่ติดทะเลฝั่งอันดามัน เป็นหาดทรายที่ยาวที่สุดของจังหวัดสตูล มีความยาวประมาณ 3,500 เมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา เป็นหาดทรายที่เกิดจากกระแสน้ำเลียบชายฝั่ง (longshore current) พัดพาเอาตะกอนทรายมาสะสมตัวงอกขนานไปกับแนวชายฝั่ง มีพื้นที่ป่าชายเลนคั่นระหว่างแนวสันทรายที่เป็นหาดสันดอน (barrier islands) กับชายฝั่งที่ต่อเนื่องขึ้นไปบนพื้นที่บก เป็นพื้นที่หนึ่งของชายฝั่งทะเลในประเทศไทยที่เป็นลักษณะตัวอย่างในระดับพัฒนาการในธรณีสัณฐานวิทยาของชายฝั่งทะเล

หาดราไว เป็นส่วนของสันดอนทรายชายฝั่งที่เรียงรายขนานกับแนวชายฝั่ง โดยมีแนวป่าชายเลนอยู่ระหว่างสันดอนทรายกับชายฝั่งทะเลที่เป็นพื้นที่เชิงเขา ผืนทรายมีลักษณะสีเทาคล้ำด้วยเศษซากอินทรีย์ บางบริเวณพบการสลับกันระหว่างชั้นเศษซากอินทรีย์กับชั้นทรายบางๆเรียงซ้อนขนานไปกับแนวชายฝั่ง บนผืนทรายมักมีเศษไม้และและวัสดุเหลือใช้ของมนุษย์แลดุระเกะระกะ แม้จะเป็นหาดทรายยาวประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ไม่พบนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมนัก ทั้งนี้องค์การบริหารส่วนตำบลขอนคลานได้ก่อสร้างกำแพงป้องกันคลื่นขนานไปกับแนวชายหาดและสนามเด็กเล่น
11.หินคลองห้วยบ้า
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านทุ่งใหญ่ ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งเป็นลำธารมีน้ำไหลจากทางด้านตะวันออกไปทางด้านตะวันตก ลำธารเป็นเขตแดนแบ่งพื้นที่ระหว่างตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า ซึ่งอยู่ด้านเหนือของลำธาร และตำบลกำแพง อำเภอละงู ซึ่งด้านใต้ของลำธาร พบหินโผล่อยู่ตามลำธารครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 30 x 100 ตารางเมตร ห่างจากอำเภอละงูไปทางเหนือเป็นระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร
พื้นที่แหล่งเป็นลำธารไหลไปตามโขดหินและมีน้ำตกเล็กๆที่สวยงาม หินที่โผล่มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ระบุหมวดหินได้และสามารถหาความสัมพันธ์กับหมวดหินในพื้นที่ใกล้เคียงต่อเนื่องออกไปได้ หากพัฒนาเป็นแหล่งธรณีวิทยา จะได้ทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่งเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจด้วย
พื้นที่แหล่งเป็นลำธารธรรมชาติไหลวกวนไปมาไปตามโขดหิน เกิดแก่งน้ำบางบริเวณ หินที่โผล่เป็นหินปูนชั้นบางสีแดงมีโครงสร้างสโตรมาโตไลต์ ชั้นหินวางตัวเอียงเทไปทางทิศใต้ด้วยมุมเอียงเทประมาณ 25 องศา (157/25) บนหินโผล่กลางลำธารพบโครงสร้างกุมภลักษณ์ (pothole) ได้ทั่วไป ชั้นหินโผล่เหล่านี้จัดเป็นหมวดหินป่าแก่ที่รองรับหมวดหินป่าแก่บริเวณเขาน้อยทางด้านใต้ของคลองห้วยบ้าที่พบหมวดหินวังตงปิดทับอยู่ด้านบน

12.หินควนช้างตาย
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านราวปลา (ควนช้างตาย) ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นแหล่งหินโผล่ขนาดเล็กอยู่ในหมู่บ้านราวปลา (ควนช้างตาย) บนพื้นที่ของราษฎรอยู่ค่อมถนนสายบ้านคีรีวง-บ้านราวปลา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 40x80 ตารางเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร
พื้นที่แหล่งเป็นพื้นที่ราษฎรที่มีหินโผล่เป็นหย่อมเล็กๆกระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองฝั่งถนน เป็นหินปูนเป็นชั้นสังเกตเห็นการวางตัวของชั้นหินได้อย่างชัดเจนและมีความต่อเนื่อง นอกจากจะมีความสวยงามโดดเด่นแปลกตาคล้ายสวนหินประดับ แต่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ยังมีคุณค่าทางวิชาการที่หากมีการสำรวจศึกษาอย่างดีเพียงพออาจสามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงและเทียบเคียงด้านการลำดับชั้นหินของพื้นที่ต่อไป
พื้นที่แหล่งพบหินโผล่เป็นหย่อมเล็กๆหลายหย่อมกระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 40x80 ตารางเมตร มีความหนาของชั้นหินโดยรวมประมาณ 50 เมตร ด้านล่างสุดเป็นหินปูนเป็นชั้นหนาปานกลางแล้วเปลี่ยนเป็นหินปูนชั้นบางขึ้นไปทางด้านบน ชั้นหินมีการวางตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยมุมเอียงเทประมาณ 38 องศา อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุหมวดหินและตำแหน่งทางการลำดับชั้นหินในการสำรวจครั้งนี้ได้ แต่กล่าวได้ว่าเป็นหมวดหินหนึ่งในกลุ่มหินทุ่งสง ยุคออร์โดวิเชียน

13.หินควนตำเสา
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านควนตำเสา หมู่ 8 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล

พื้นที่แหล่งเป็นเหมืองหินตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา อยู่ห่างจากถนนหลวงหมายเลข 416 ไปทางตะวันตกประมาณ 100 เมตร เหมืองมีขนาดประมาณ 50 x 150 ตารางเมตร ห่างจากที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้าไปทางใต้ เป็นระยะทางประมาณ 1 กม.



พื้นที่แหล่งพบหินที่มีลักษณะเหมือนกับหินที่พบในบริเวณใกล้เคียง แต่พบโครงสร้างโค้งงอและโครงสร้างรอยเลื่อนที่มีลักษณะที่โดดเด่นและชัดเจน อันจะนำไปสู่การศึกษาเชื่อมโยงกับลักษณะที่พบในแหล่งอื่นๆที่อาจนำไปสู่การเข้าใจลักษณะทางธรณีวิทยาของพื้นที่ทั้งในระดับท้องถิ่นและพื้นที่ในวงกว้างต่อไป


พื้นที่เหมืองประกอบไปด้วยหินดินดานชั้นบางสีม่วงมีก้อนทรงมนเนื้อปูนสีขาวรูปทรงรีแบนเรียงขนานไปกับระนาบชั้นหิน ชั้นหินมีการคดโค้งโก่งงอไปมาและมีแนวแตกเรียบ (cleavage) ตัดขวางกับชั้นหินด้วยมุมต่างๆตามการโค้งงอ แนวแตกเรียบบางส่วนมีแร่แคลไซต์เข้าไปอยู่เป็นสายแร่บางๆ บางบริเวณพบโครงสร้างโค้งงอขนาดเล็ก (minor fold) รวมถึงมีโค้งสร้างรอยเลื่อนอยู่ด้วย

14.หินควนนมสาว
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านราวปลา (ควนนมสาว) ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นแหล่งหินโผล่ขนาดเล็กอยู่ในหมู่บ้านราวปลา (ควนนมสาว) บนพื้นที่ของราษฎรอยู่ค่อมถนนสายบ้านคีรีวง-บ้านราวปลา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 40x40 ตารางเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าเป็นระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร

พื้นที่แหล่งเป็นพื้นที่ราษฎรที่มีหินโผล่เป็นหย่อมเล็กๆกระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองฝั่งถนน เป็นหินปูนเป็นชั้นบางที่มีลักษณะของรูหนอนชอนไชที่ทำให้ทราบสภาพแวดล้อมของการตกสะสมของตะกอนได้

พื้นที่แหล่งพบหินโผล่ให้เห็นชัดเจนทางด้านตะวันตกของถนน เป็นหินปูนชั้นบาง (laminated limestone) สลับกับหินปูนเนื้อก้อนกลม (nodular limestone) ชั้นหินมีการวางตัวเอียงเทไปทางทิศใต้ด้วยมุมเอียงเทประมาณ 48 องศา (200/48) ทางด้านตะวันออกของถนนพบหินโผล่เรี่ยไปตามพื้นดิน พบรูหนอนชอนไชทั้งที่ตั้งฉากและที่ขนานไปกับชั้นหิน สภาพแวดล้อมของการตกสะสมตัวของตะกอนจึงอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลบริเวณระหว่างพื้นที่ระหว่างน้ำขึ้นสูงสุดกับน้ำลงต่ำสุด (intertidal) และพื้นที่ใต้น้ำลงต่ำสุด (subtidal) จากลักษณะหินและการลำดับชั้นหินยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอที่จะระบุหมวดหิน (ลักษณะทั่วไปจะคล้ายหมวดหินมะละกา) แต่กล่าวได้ว่าเป็นหมวดหินหนึ่งของกลุ่มหินทุ่งสงยุคออร์โดวิเชียน ทั้งนี้สมควรสำรวจวิจัยในรายละเอียดเพื่อให้ทราบชื่อหมวดหินที่แท้จริง ต่อไป

15.หินทับชาวเล
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : เหมืองหินบริษัทพุธผาศิลาละงูจำกัด ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เป็นเหมืองหินของบริษัทพุธผาศิลาละงูจำกัด แปลงประทานบัตรที่ 0580990/0771697 ขนาดพื้นที่ประมาณ 51 ไร่ ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางใต้เป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร

เป็นบ่อหินครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 51 ไร่ ลึกประมาณ 5 เมตร มีชั้นหินโผล่ที่แสดงการลำดับชั้นหินชัดเจน พบทั้งโครงสร้างรอยเลื่อนและโครงสร้างโค้งงอ รวมถึงโครงสร้างชั้นเฉียงระดับ และอื่นๆที่สามารถใช้เป็นแหล่งธรณีวิทยาที่ดี

หินโผล่แสดงชั้นหินชัดเจน มีการลำดับชั้นของชั้นหินทรายกับชั้นหินโคลน หินโคลนมีสีเทาเข้ม ส่วนหินทรายมีสีจางกว่าทำให้เห็นชั้นหินทรายแทรกระหว่างชั้นหินโคลนชัดเจน โดยพบว่าด้านล่างมีชั้นหินทรายน้อย และมีมากขึ้นไปทางด้านบน ชั้นหินทรายหนาประมาณ 5-10 เซนติเมตร ชั้นหินโดยทั่วไปมีการเอียงเทไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยมุมเอียงเทประมาณ 9 องศา อย่างไปก็ตามพบเห็นการคดโค้งของชั้นหิน และมีรอยเลื่อนพบได้ทั่วไป หินโคลนสดงชั้นหินบาง (lamination) ด้วย บางช่วงชั้นหินโคลนมีชั้นหินทรายแทรกและแสดงชั้นเฉียงระดับขนาดเล็ก พบเศษก้อนหินทรายในชั้นหินโคลนด้วย (dropstone)

จากการพิจารณาลักษณะหินและลำดับชั้นหิน รวมถึงการเปรียบเทียบกับแหล่งหินโผล่ในบริเวณอื่นๆกล่าวได้ว่าชั้นหินเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหินแก่งกระจาน แต่ยังไม่ขอกล่าวถึงหมวดหิน กลุ่มหินนี้มีอายุอยู่ในช่วงต้นของยุคเพอร์เมียน (พล เชาว์ดำรง 2553)

16.หินที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : ที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งอยู่ด้านหลังอาคารที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า มีหินปูนโผล่ไม่สูงจากพื้นดินนัก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50 x 20 ตารางเมตร อยู่ติดสถานที่ราชการสะดวกในการเข้าถึง 

พื้นที่แหล่งมีขนาดเล็ก มีหินโผล่ชัดเจน อยู่ในพื้นที่ของหน่วยงานราชการ กล่าวคืออยู่ด้านหลังอาคารที่ว่าการอำเภอทุ่งหว่า และอยู่หลังอาคารองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า เป็นสถานที่ที่มีประชาชนเข้ามาใช้บริการเป็นประจำ การพัฒนาเป็นแหล่งธรณีวิทยาจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดี

พื้นที่แหล่ง มีหินโผล่ชัดเจน เป็นหินดินดานสีม่วง มีก้อนทรงมนเนื้อปูนสีขาว เป็นรูปทรงรีแบนเรียงริ้วขนานไปกับชั้นหิน (lime nodule shale หรือ nodular limestone) มีลักษณะหินที่เปรียบเทียบได้ดีกับหินบนเขาแดง เทือกเขาด้านตรงข้ามถนนกับที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า


17.หินปาหนัน
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านราวปลา ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล


เขาหินปูนที่บ้านราวปลา อยู่ห่างจากเขตหมู่บ้านไปทางตะวันออกประมาณ 300 เมตร มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ด้านหน้าผาเป็นสระขุดขนาดประมาณ 100x100 เมตร มีกองหินก้อนใหญ่ๆบริเวณขอบสระด้านติดหน้าผาภูเขา อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร



เทือกเขาแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตหินปูนนำไปเป็นวัสดุก่อสร้าง มีการระเบิดหน้าผาหิน ทำให้เห็นลักษณะของหินที่มีองค์ประกอบของซากดึกดำบรรพ์แล้วทำให้เข้าใจได้ว่าหินปูนเหล่านี้มีลักษณะเหมือนที่พบบนเกาะปาหนัน เกาะเล็กๆทางตอนใต้ของเกาะตะรุเตา ถือเป็นหมวดหินปาหนันแห่งแรกที่พบบนพื้นที่บก และจะนำไปสู่การเป็นกุญแจดอกสำคัญในการสำรวจเรียนรู้ให้เข้าใจถึงการลำดับชั้นหินปูนยุคออร์โดวิเชียนบนพื้นที่บกในจังหวัดสตูลและพื้นที่อื่นๆของจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้บริเวณพื้นที่ข้างเคียงยังมีเหมืองแร่แบไรต์ทิ้งร้าง ซึ่งถือเป็นแหล่งเรียนรู้คู่กันกับหมวดหินปาหนันนี้


พื้นที่แหล่งเป็นภูเขาหินปูนสีเทาเนื้อแน่น พบร่องรอยการระเบิดทำเหมืองหิน หินปูนพบโครงสร้างสโตรมาโตไลต์ได้โดยทั่วไป เป็นลักษณะของสโตรมาโตไลต์รูปแท่ง (columnar stromatolite) ตั้งแต่เป็นรูปแท่งทรงสูงทางด้านล่างแล้วรูปทรงจะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นทรงเตี้ยและลดลงตามลำดับ จนต่อเนื่องไปเป็นลักษณะของสโตรมาโตไลต์รูปแผ่น (sheet หรือ laminar stromatolite) ทางด้านบนสุด ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลในอดีต นอกจากนี้ ยังพบว่ายังพบรูหนอนชอนไซในเนื้อของสโตรมาโตไลต์รูปแท่งด้วย ในเนื้อหินปูนยังพบซากดึกดำบรรพ์ของนอติลอยด์ หอยสองฝา และฟองน้ำอีกด้วย หินปูนเหล่านี้จึงเกิดจากการพอกสะสมตัวเป็นชั้นๆโดยกิจกรรมของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (microbial mat) บริเวณน้ำทะเลตื้นใกล้ชายฝั่งทะเล โดยลักษณะหินดังกล่าวมีลักษณะเทียบเคียงได้กับหินปูนที่พบบนเกาะปาหนันซึ่งเป็นแหล่งหมวดหินแบบฉบับของหมวดหินปาหนัน หินปูนในแหล่งนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นหมวดหินปาหนันที่เป็นหมวดหินหนึ่งของกลุ่มหินทุ่งสงยุคออร์โดวิเชียน


18.หินผานาทอน
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านนาทอน ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล


พื้นที่แหล่งอยู่บริเวณเชิงเขา ติดหน้าผาหินปูนสูงชัน ห่างจากถนนสาย 416 ประมาณ 100 เมตร พื้นที่พัฒนาประมาณ 20x50 ตารางเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศใต้เป็นระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร



พื้นที่แหล่งติดหน้าผาหินปูนสูงชันเป็นพื้นผิวเรียบที่อาจเป็นระนาบรอยเลื่อนที่วางตัวเป็นแนวยาวจากเหนือลงใต้ หินปูนมีลักษณะที่แตกต่างจากหินปูนบริเวณเขาแดง (ทุ่งหว้า) จึงอาจพัฒนาเป็นแหล่งธรณีวิทยาเพื่อการเปรียบเทียบ


พื้นที่แหล่งอยู่ห่างจากถนนสาย 416 ไปทางตะวันออกประมาณ 100 เมตร ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาหินปูนที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันและมีพื้นหน้าผาค่อนข้างเป็นระนาบเรียบ โดยทั่วไปมีลักษณของหินปูนที่มีการเปลี่ยนหินโดโลไมต์ เห็นโครงสร้างเป็นริ้วลายเส้นบางๆของสาหร่าย (algal lamellae) ขนานกันไปเป็นแถบกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร โดยแถบของ algal lamellae นี้จะมีหลายแถบขนานกันไปอยู่ห่างกันประมาณ 5-10 เซนติเมตร ลักษณะหินปูนในแหล่งนี้ยังไม่อาจระบุชื่อหมวดหินได้ แต่มีลักษณะคล้ายหินปูนของหมวดหินลาง่า

19.หินผานาเปีย
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านนาเปีย ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งอยู่บริเวณเชิงเขา ติดหน้าผาหินปูนสูงชัน ห่างจากถนนสาย 416 ประมาณ 100 เมตร พื้นที่พัฒนาประมาณ 20x50 ตารางเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศใต้เป็นระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร

พื้นที่แหล่งติดหน้าผาหินปูนสูงชันเป็นพื้นผิวเรียบที่อาจเป็นระนาบรอยเลื่อนที่วางตัวเป็นแนวยาวจากเหนือลงใต้ หินปูนมีลักษณะที่แตกต่างจากหินปูนบริเวณเขาแดง (ทุ่งหว้า) จึงอาจพัฒนาเป็นแหล่งธรณีวิทยาเพื่อการเปรียบเทียบ

พื้นที่แหล่งอยู่ห่างจากถนนสาย 416 ไปทางตะวันออกประมาณ 100 เมตร ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาหินปูนที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันและมีพื้นหน้าผาค่อนข้างเป็นระนาบเรียบ โดยทั่วไปมีลักษณะของหินปูนที่มีการเปลี่ยนเป็นหินโดโลไมต์ เห็นโครงสร้างเป็นริ้วลายเส้นบางๆของสาหร่าย (algal lamellae) ขนานกันไปเป็นแถบถี่ๆ ลักษณะหินปูนในแหล่งนี้ยังไม่อาจระบุชื่อหมวดหินได้

20.หินเขาหญ้าระ
ประเภทแหล่ง : หินแบบฉบับ
ที่อยู่ : เขาหญ้าระ บ้านสะพานวา หมู่ 5 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล

พื้นที่แหล่งอยู่บริเวณเชิงเขาหญ้าระ ห่างจากทางหลวงชนบท หมายเลข สต.3007 ทางด้านเหนือประมาณ 200 เมตร ห่างจากสามแยกบ้านสะพานวาประมาณ 1 กิโลเมตร พื้นที่แหล่งอยู่เชิงเขาต่อเนื่องกับพื้นที่สวนยางพารา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 30 x 50 ตารางเมตร อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร

พื้นที่แหล่ง มีหินโผล่เป็นหน้าผาหินปูนและมีก้อนหินลอยทั่วไปบริเวณเชิงเขา ลักษณะหินมีความแตกต่างไปจากหลายแหล่งที่พบระหว่างตัวอำเภอทุ่งหว้าจนถึงสามแยกบ้านสะพานวา พื้นที่ใกล้กับแหล่งจึงอาจเป็นแนวสัมผัสระหว่าง 2 หมวดหิน ถือเป็นแหล่งที่มีความสำคัญทางธรณีวิทยา

แหล่งเป็นพื้นที่เชิงเขา ที่มีผาหินปูนและหินลอยระเกะระกะบริเวณเชิงเขา หินปูนมีสีเทามีเนื้อซากสาหร่ายแทรกทั้งที่เป็นแบบแผ่นกระเปาะ (algal mat) สีชมพูน้ำตาล และบ้างก็เป็นแผ่นสาหร่ายเป็นแถบเรียงขนานกันเป็นริ้ว (algal lamellae) ทั้งที่เรียงขนานกันแบบถี่ๆและแบบห่างๆสลับกันไปมา


21.เกาะตะบัน
ประเภทแหล่ง : ธรณีสัณฐาน
ที่อยู่ : เกาะตะบัน ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล


พื้นที่แหล่ง เป็นเกาะหินปูนขนาดเล็กมีขนาดความกว้างประมาณ 700 เมตร โดยรอบเกาะเป็นหน้าผาหินปูนสูงชัน จุดสูงสุดประมาณ 208 เมตร อยู่ห่างจากปลายแหลมมะหงัง (ตำบลทุ่งบุหลัง) ไปทางทิศใต้ของเกาะเป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากปากคลองสังหยดไปทางทิศตะวันออกของเกาะเป็นระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร 



การเดินทางใช้รถยนต์จากอำเภอทุ่งหว้าไปที่บ้านนาทอนเป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตรแล้วต่อเรือหางยาวใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที



เกาะตะบัน เป็นเกาะหินปูน มีลักษณะเป็นภูเขาสูงกลางทะเล มองแต่ไกลจะเห็นรูปหมวกตะบัน (หมวกของชาวมุสลิม) เป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวแม่ไก่นับพันตัว ในช่วงเย็นจะเห็นฝูงค้าวคาวบินรอบๆเกาะตะบัน เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจะมาถ่ายภาพความประทับใจไว้



เกาะตะบัน เป็นเกาะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 1-2 กิโลเมตร เป็นเกาะหินปูนที่มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่หลากหลาย เช่น ผาสูงชัน ถ้ำ ถ้ำทะเล เว้าทะเล รอยเลื่อน และซากดึกดำบรรพ์


เกาะตะบัน เป็นเกาะหินปูน ไม่แสดงชั้นหินชัดเจน พบมีโครงสร้างรอยแตกและรอยเลื่อน บ้างมีสายแร่แคลไซต์เข้าไปตกผลึกอยู่ร่องรอยแตกเป็นลักษณะของสายแร่แคลไซต์ (calcite vein) ด้านล่างใกล้ระดับน้ำทะเลด้านตะวันออกพบลักษณะของถ้ำทะเล (sea cave) อันเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นทะเลเว้าเข้าไปเป็นถ้ำและมีการสะสมตัวของตะกอนทรายเป็นหาดทราย บ้างก็มีการสะสมตัวของเปลือกหอย เช่น หอยเดือนที่มีลักษณะเป็นชั้นหนา บ้างก็เป็นหาดเปลือกหอยเป็นชายหาดกว้าง บางบริเวณเป็นหาดเลนและมีป่าชายเลนปกคลุม ด้านเหนือของเกาะมีลักษณะเป็นหาดเว้าเข้าไปเป็นบริเวณกว้างที่มีหัวแหลม (headland) ขนาบสองด้าน ชายหาดมีลักษณะเป็นทรายและก้อนหินระเกะระกะ พบซากดึกดำบรรพ์หลายชนิดตามก้อนหินปูน เช่น ปะการังสกุล Syringopora ซึ่งเป็นปะการังแท่ง (tabulate coral) ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว พบมากในทะเลตื้น อากาศอบอุ่นในช่วงมหายุคพาลีโอโซอิกตอนบน โดยได้สูญพันธุ์ไปเมื่อสิ้นสุดยุคเพอร์เมียน นอกจากนี้ก็ยังพบแบรคิโอพอด หอยสองฝาที่มีลักษณะคล้ายสกุล Alatoconcha และพลับพลึงทะเล

22.เปลือกหอยถ้ำเสือเขาหนุ่ย
ประเภทแหล่ง : ซากดึกดำบรรพ์
ที่อยู่ : บ้านท่าซิว หมู่ 6 ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งเป็นหลืบถ้ำเตี้ยๆสูงจากพื้นประมาณ 2 เมตร ลึกเข้าไปประมาณ 3-5 เมตร อยู่ทางด้านเหนือของเขาหนุ่ย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20x50 ตารางเมตร อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศใต้เป็นระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร

ภายในถ้ำมีซากเปลือกหอยทะเลพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งยังเป็นปริศนาถึงการเกิด ซึ่งอาจเกิดจากมนุษย์โบราณนำมาบริโภคเป็นอาหาร หรือว่าเกิดจากน้ำทะเลเคยท่วมถึง ยังเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยการวิจัย

พื้นที่แหล่งเป็นภูเขาหินปูนลูกโดดๆ ด้านล่างเชิงเขาเป็นหลืบถ้ำเตี้ยๆสูงประมาณ 2 เมตร เป็นแนวยาวประมาณ 50 เมตร สามารถสังเกตการวางตัวของชั้นหินปูนจากระยะไกล โดยชั้นหินมีการวางตัวเอียงเทไปทางประมาณทิศตะวันออก พื้นที่ต่ำด้านตะวันตกของเขาหนุ่ยพบหินโผล่ของหินทรายสลับหินดินดานโผล่ให้เห็นบริเวณลำห้วย เข้าใจได้ว่ามีการวางตัวรองรับหินปูนอยู่

ภายในถ้ำพบเศษเปลือกหอยทะเลถูกพอกด้วยปูนน้ำจืดที่เกิดจากการละลายโดยน้ำฝน เปลือกหอยที่พบมีหลายชนิด ที่ชัดเจนเป็นเปลือกหอยแครง (Anadara granosa)

23.เปลือกหอยเขาหนุ่ย
ประเภทแหล่ง : ซากดึกดำบรรพ์
ที่อยู่ : บ้านท่าซิว หมู่ 6 ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พื้นที่แหล่งเป็นภูเขาหินปูนลูกโดดๆขนาดประมาณ 700x300 ตารางเมตร มียอดสูงสุดประมาณ 187 เมตรจากระดับทะเล ถูกรายล้อมด้วยพื้นที่สวนยางพารา ห่างจากขอบพื้นที่ป่าชายเลนทางด้านตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร และด้านเหนือประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร ด้านใต้และด้านตะวันออกเป็นพื้นที่บกต่อเนื่องกับพื้นที่ภูเขาสูง อยู่ห่างจากตัวอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร

เขาหนุ่ย เป็นภูเขาหินปูนลูกโดดๆขนาดเล็ก เหมือนภูเขาในบริเวณพื้นที่ใกล้ชายฝั่งทะเลซึ่งต่อเนื่องไปเป็นเกาะขนาดเล็กๆกลางทะเลในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา บริเวณเชิงเขาพบหลืบถ้ำขนาดเล็กที่พบซากเปลือกหอยทะเลฝังตัวอยู่ในเนื้อปูนน้ำจืดซึ่งว่าไม่สามารถเกิดขึ้นโดยธรรมชาติได้ จึงอาจมีความสัมพันธ์กับมนุษย์โบราณ

พื้นที่ภูเขาถูกรายล้อมด้วยพื้นที่สวนยางพาราที่มีลักษณะเป็นพื้นที่เป็นเนินสูงๆต่ำๆเตี้ยๆ บางบริเวณพบหินโผล่ของหินทรายสลับหินดินดานเรี่ยไปตามพื้นดินและบริเวณลำธาร ชั้นหินเหล่านี้มีลักษณะคล้ายหินดินดานที่พบบริเวณพื้นที่ควนดินสอใกล้ตัวอำเภอทุ่งหว้าและบริเวณบ้านท่าข้ามควายทางตอนเหนือของเขาหนุ่ยประมาณ 3.5 กิโลเมตร ส่วนเขาหนุ่ยซึ่งต้องเดินผ่านสวนยางพาราเข้าไปต้องเดินขึ้นเชิงเขาซึ่งมีความลาดชันสูง พบเป็นหินปูนไม่สามารถสังเกตสังเกตลักษณะชั้นในระยะใกล้ได้ แต่เมื่อสังเกตจากถนนด้านใต้ของภูเขาพบเห็นชั้นหินปูนมีการวางตัวเอียงเทไปทางทิศตะวันออกได้อย่างชัดเจน จึงเข้าใจได้ว่าหินปูนของเขาหนุ่ยวางตัวอยู่บนหินที่แก่กว่าซึ่งเป็นหินทรายสลับหินโคลนและหินดินดาน บริเวณเชิงเขาหนุ่ยซึ่งเป็นหินปูนมีหลืบถ้ำเล็กๆหลายแห่ง บริเวณเพดานถ้ำและผนังถ้ำรวมถึงพื้นถ้ำบางบริเวณมีปูนน้ำจืดพอกนูนขึ้นมาและมีเศษซากเปลือกหอยทะเลฝังตัวอยู่ทั่วไป ประกอบด้วยหอยแครง (Anadara granosa) หอยจุ๊บแจง (Cerithidea obtusa) หอยสันขวาน (Telescopium telescopium) และเศษกล้ามปู โดยเปลือกหอยที่พบล้วนเป็นเปลือกหอยทะเล ซึ่งรวมถึงซากเปลือกหอยในถ้ำเสือทางตอนเหนือของเขาหนุ่ยด้วย

24.แบไรต์ทุ่งหว้า
ประเภทแหล่ง : แร่แบบฉบับ
ที่อยู่ : บ้านราวปลา ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เหมืองแร่แบไรต์ เป็นเหมืองร้างครอบคลุมพื้นที่ 1.64 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ห่างจากบ้านราวปลาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอทุ่งหว้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร

แหล่งเป็นเหมืองแร่แบไรต์ทิ้งร้าง ที่มีประวัติและร่องรอยการทำเหมืองแร่มาก่อน เป็นพื้นที่เนินสูงแลเห็นทัศนียภาพโดยรอบที่สวยงาม พบร่องรอยการทำเหมืองแร่และมีก้อนแร่แบไรต์ตกหล่นเกลื่อนไปทั่วพื้นที่เหมือง สามารถพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างดี ประกอบกับอยู่ใกล้สถานที่ใกล้เคียงกับแหล่งธรณีวิทยาอีกหลายแหล่งในเขตบ้านราวปลา จึงสามารถพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

แหล่งแร่แบไรต์ เป็นแหล่งแร่แบบสายแร่ที่แทรกเข้าไปในหินท้องที่ซึ่งเป็นหินปูน เกิดจากสายแร่น้ำร้อน (hydrothermal solution) แทรกเข้ามาตามรอยเลื่อนและรอยแตกของหินปูนยุคออร์โดวิเชียน เกิดเป็นสายแร่ (vein) มีความกว้าง 2-5 เมตร ยาวประมาณ 150-200 เมตร วางตัวอยู่ในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ (Tulyatid, 1995) จากการประเมินพบว่ามีปริมาณทรัพยากรแร่สำรองมีศักยภาพเป็นไปได้ 23,625 เมตริกตัน (กรมทรัพยากรธรณี 2556) 

พื้นที่แหล่งแร่เป็นพื้นที่ทิ้งร้าง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด พบเป็นเนินสูงต่ำมีเศษกองดินและก้อนแร่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ไม่สามารถสังเกตเห็นตำแหน่งสายแร่ได้อาจถูกฝังกลบโดยเศษดินตะกอน
อ้างอิงhttp://www.khoratfossil.org/geopark/contents

4 ความคิดเห็น: